ประติมากรรมขอม
ภาพสลับนูนต่ำของขอมในชั้นต้นสลับคล้ายของจริงตามธรรมชาติเหมือนกับภาพสลักในประเทศอินเดีย
เช่น บรรดาทับหลังของปราสาทหลังกลางในศาสนสถานหมู่ใต้ที่สมโบร์
แต่ต่อมาก็มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ดังเห็นได้จากปราสาทบากองในสมัยพระโค
และที่ปราสาทกระวันในบริเวณเมืองพระนคร
ภาพสลักแห่งนี้สลักเป็นรูปพระนารายณ์ และพระลักษณ์
มียืนอยู่เหนือผนังภายใน
ศาสนสถาน แสดงความแข็งกระด้างเช่นเดียวกับประติมากรรมลอยตัวในขณะนั้น นอกจากนี้ยังพบภาพสลักบนหน้าบันของปราสาททายสรี ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจ เพราะสลักอย่างได้ระเบียบและเต็มไปด้วยความงดงามอ่อนช้อย เช่น ภาพสลักนางอัปสรติโลตตมาที่อยู่ท่ามกลางอสูรสองตน ปัจจุบันภาพนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และประมาณ พ.ศ.๑๖๕๐-๑๗๐๐ ได้มีภาพสลักขนาดใหญ่ซึ่งแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ระเบียงปราสาทนครวัด เป็นสภาพสลักนูนต่ำขนาดใหญ่ ๘ ภาพสลักอยู่บนระเบียงชั้นที่ ๑ ภาพเหล่านี้แสดงบุคคลจำนวนมาก ไม่ปล่อยพื้นที่ให้ว่างเปล่าและชอบแสดงจิตใจอย่างรุนแรง เช่น ภาพการสู้รบ ภาพนรก ภาพสวรรค์ ภาพเหล่านี้แม้ว่าจะแสดงจังหวะที่ค่อนข้างกะด้างแต่ก็ต่อเนื่องกันไป และแสดงให้เห็นถึงความนิยมในเส้นขนานขนาดใหญ่ตลอดจนการประกอบภาพอย่างมโหฬารด้วย ต่อมาก็มีลักษณะใหม่เกิดขึ้นในภาพสลักนูนต่ำของขอม คือ การนิยมแสดงภาพตามความจริง ภาพชีวิตประจำวันตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ภายหลังต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ คือ ตั้งแต่สมัยพนมดา ก็เริ่มประติมากรรมลอยตัวขนาดใหญ่ ซึ่งมีลำตัวตรง ขาแยกจากกัน และล้อมรอบด้วยวงโค้งสำหรับยึด ประติมากรรมเหล่านี้โดยมากสลักเป็นรูปพระหริหระคือ พระนารายณ์และพระอิศวรผสมกันเป็นองค์เดียว มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้าทั้งสอง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเอกภาพไว้ได้อย่างน่าสนใจ รูปพระหริหระที่งดงามมากองค์หนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คือ รูปพระหริหระแห่งมหาฤาษี (Maha Rosei) นอกจากนี้ ลวดลายเครื่องประดับในองค์ประกอบของ “ทับหลัง” (ศิลาสลักแผ่นสี่เหลี่ยมอยู่เหนือกรอบประตู) ก็ยังมีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะ รวมทั้งเสาประดับกรอบประตู และเครื่องประดับรูปสัตว์ คือ นาค ซึ่งเป็นการคิดค้นของขอมที่น่าชมมาก ส่วนทับหลังที่มีรูปร่างสูงก็จะมีลวดลายเครื่องประดับมากขึ้น ทับหลังแบบนี้อาจตัดได้ว่าเป็นทับหลังที่มีความงดงามที่สุดในศิลปะขอแม้ว่าจะมีลวดลายเครื่องประดับอย่างมากมายและไม่นิยมพื้นที่ว่างเปล่า แต่ก็ยังคงรักษาความได้สัดส่วนไว้อย่างเคร่งครัด อาทิ ทับหลังที่เมืองหริหารลัยสมัยพระโค เป็นต้น
ศาสนสถาน แสดงความแข็งกระด้างเช่นเดียวกับประติมากรรมลอยตัวในขณะนั้น นอกจากนี้ยังพบภาพสลักบนหน้าบันของปราสาททายสรี ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจ เพราะสลักอย่างได้ระเบียบและเต็มไปด้วยความงดงามอ่อนช้อย เช่น ภาพสลักนางอัปสรติโลตตมาที่อยู่ท่ามกลางอสูรสองตน ปัจจุบันภาพนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และประมาณ พ.ศ.๑๖๕๐-๑๗๐๐ ได้มีภาพสลักขนาดใหญ่ซึ่งแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ระเบียงปราสาทนครวัด เป็นสภาพสลักนูนต่ำขนาดใหญ่ ๘ ภาพสลักอยู่บนระเบียงชั้นที่ ๑ ภาพเหล่านี้แสดงบุคคลจำนวนมาก ไม่ปล่อยพื้นที่ให้ว่างเปล่าและชอบแสดงจิตใจอย่างรุนแรง เช่น ภาพการสู้รบ ภาพนรก ภาพสวรรค์ ภาพเหล่านี้แม้ว่าจะแสดงจังหวะที่ค่อนข้างกะด้างแต่ก็ต่อเนื่องกันไป และแสดงให้เห็นถึงความนิยมในเส้นขนานขนาดใหญ่ตลอดจนการประกอบภาพอย่างมโหฬารด้วย ต่อมาก็มีลักษณะใหม่เกิดขึ้นในภาพสลักนูนต่ำของขอม คือ การนิยมแสดงภาพตามความจริง ภาพชีวิตประจำวันตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ภายหลังต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ คือ ตั้งแต่สมัยพนมดา ก็เริ่มประติมากรรมลอยตัวขนาดใหญ่ ซึ่งมีลำตัวตรง ขาแยกจากกัน และล้อมรอบด้วยวงโค้งสำหรับยึด ประติมากรรมเหล่านี้โดยมากสลักเป็นรูปพระหริหระคือ พระนารายณ์และพระอิศวรผสมกันเป็นองค์เดียว มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้าทั้งสอง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเอกภาพไว้ได้อย่างน่าสนใจ รูปพระหริหระที่งดงามมากองค์หนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คือ รูปพระหริหระแห่งมหาฤาษี (Maha Rosei) นอกจากนี้ ลวดลายเครื่องประดับในองค์ประกอบของ “ทับหลัง” (ศิลาสลักแผ่นสี่เหลี่ยมอยู่เหนือกรอบประตู) ก็ยังมีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะ รวมทั้งเสาประดับกรอบประตู และเครื่องประดับรูปสัตว์ คือ นาค ซึ่งเป็นการคิดค้นของขอมที่น่าชมมาก ส่วนทับหลังที่มีรูปร่างสูงก็จะมีลวดลายเครื่องประดับมากขึ้น ทับหลังแบบนี้อาจตัดได้ว่าเป็นทับหลังที่มีความงดงามที่สุดในศิลปะขอแม้ว่าจะมีลวดลายเครื่องประดับอย่างมากมายและไม่นิยมพื้นที่ว่างเปล่า แต่ก็ยังคงรักษาความได้สัดส่วนไว้อย่างเคร่งครัด อาทิ ทับหลังที่เมืองหริหารลัยสมัยพระโค เป็นต้น